EU ปรับข้อกำหนดการติดฉลากกำเนิดวัตถุดิบอาหาร
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2561
คณะกรรมาธิการยุโรปประกาศ Commission Implementing Regulation
(EU) 2018/775
ซึ่งคณะกรรมาธิการยุโรปได้กำหนดให้ส่วนประกอบหลักของอาหารที่มีแหล่งกำเนิดจากอาหารดังกล่าว
จะต้องแสดงข้อมูลแหล่งกำเนิด หรือถิ่นที่มาของส่วนประกอบหลักในผู้บริโภคทราบ ดังนี้
1. EU ,non-EU หรือ EU and non-EU หรือ
2. ชื่อภูมิภาค หรือพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่ครอบคลุมประเทศสมาชิกฯ
หรือประเทศที่สามที่ถูกกำหนด โดยกฎหมายระหว่างประเทศ
หรือเป็นข้อมูลที่ผู้บริโภคทั่วไปสามารถเข้าใจได้ หรือ
3. ชื่อพื้นที่ทำการประมงของ FAO หรือทะเล
หรือแหล่งน้ำจืดที่ถูกกำหนดโดยกฎหมายระหว่างประเทศหรือสามารถเข้าใจได้ดี
โดยผู้บริโภคทั่วไปเมื่อได้รับข้อมูลดังกล่าว หรือ
4. ชื่อประเทศสมาชิกฯ หรือประเทศที่สาม หรือ
5. ชื่อภูมิภาคหรือพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ในประเทศสมาชิก
หรือในประเทศที่สามที่ผู้บริโภคทั่วไปสามารถเข้าใจ หรือ
6. ชื่อประเทศแหล่งกำเนิดหรือถิ่นฐาน
ตามข้อกำหนดเฉพาะของสหภาพยุโรปว่าด้วยส่วนประกอบที่เกี่ยวข้อง
7. หรือระบุข้อความว่า (ชื่อส่วนประกอบหลัก) ไม่ได้มาจาก (ประเทศแหล่งกำเนิดหรือถิ่นที่มาของอาหาร)
หรือข้อความคล้ายคลึงอื่นใดที่มีความหมายเหมือนกันสำหรับผู้บริโภค
โดยข้อมูลที่นำเสนอต้องมีขนาดอักษรไม่เล็กกว่าที่กำหนดตาม Regulation
(EU) No 1169/2011
ซึ่งในกรณีที่ระบุประเทศแหล่งกำเนิดหรือถิ่นที่มาของอาหารในลักษณะคำ ข้อมูลส่วนประกอบหลักของอาหารจะอยู่ในระดับที่มองเห็นได้ในระดับข้อมูลดังกล่าว
โดยต้องใช้ขนาดตัวอักษรที่มีขนาดสูงอย่างน้อยร้อยละ 75
ของขนาดตัวอักษรที่ระบุชื่อประเทศแหล่งกำเนิดหรือถิ่นที่มาของอาหารนั้นๆ
หรือในกรณีที่ระบุประเทศแหล่งกำเนิดหรือถิ่นที่มาของอาหารในลักษณะรูป (non-scriptural
form) ข้อมูลส่วนประกอบหลักของอาหารจะต้องอยู่ในระดับเดียวกับข้อมูลดังกล่าว
ทั้งนี้
กฎระเบียบดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ 3 วันหลังจากประกาศ (ประกาศ วันที่ 29 พฤษภาคม
2561) โดยให้ปรับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 โดยอาหารที่วางจำหน่ายในตลาด
หรือที่มีการติดฉลากก่อนวันที่ 1 เมษายน 2563
สามารถวางจำหน่ายได้จนกว่าสินค้าจะหมด
Post a Comment