Header Ads

test

เอกชนแห่ทำ "เฮดจิ้ง" รับมือค่าเงินผันผวน


 เอกชนแห่ทำ'เฮดจิ้ง'รับมือค่าเงินผันผวน : บาทแข็งค่าโด่ง ผู้ส่งออก-นำเข้าตื่นป้องกันความเสี่ยงรักษารายได้-กำไรหด สรท.ห่วงรายเล็กเข้าไม่ถึงบริการแบงก์ ทำธุรกิจดิ่งเหว ชี้ชัดรายได้ส่งออกรูปเงินบาท 7 เดือนโตแค่ 1% ด้านไทยพาณิชย์เผย 8 เดือนลูกค้าแห่ทำเฮดจิ้งหนุนตลาดค้าเงินตราต่างประเทศโต 20%


จากสงครามการค้าสู่สงครามค่าเงินที่ลุกลามไปทั่วโลกเวลานี้ ส่งผลให้เงินหลายสกุลอ่อนค่าลงขณะที่ไทยยังมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้าเพิ่มขึ้น ยังผลให้เงินบาท ณ เวลานี้แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลอื่นในภูมิภาค สร้างความกังวลต่อภาคการส่งออกที่จะกระทบกับความสามารถในการแข่งขันด้านราคา

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สรท.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯในเวลานี้ แม้ในภาพรวมเชื่อว่า คงไม่มีผลกระทบกับตัวเลขการส่งออกของไทยในปีนี้ที่ทาง สรท.ปรับคาดการณ์ใหม่ จากเดิมจะขยายตัวได้ที่ 8% เพิ่มเป็น 9% แต่ที่ห่วงคือ รายได้ของผู้ส่งออกในรูปเงินบาท จะลดลงหรือไม่มีกำไร ซึ่งจะยังผลถึงผลประกอบการ และการขาดสภาพคล่องในการรักษาหรือขยายธุรกิจ

"สมาชิกของ สรท.เวลานี้ได้หาวิธีป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินหลายวิธี  แต่โดยส่วนใหญ่จะจองฟอร์เวิร์ดล่วงหน้ากับธนาคาร เพราะเกรงบาทจะแข็งค่าไปมากกกว่านี้ โดยส่วนใหญ่จะทำประกันความเสี่ยงค่าเงินไว้ 3-6 เดือน เพราะถ้านานกว่านี้จะมีต้นทุนค่าพรีเมียม (ค่าธรรมเนียม) จากแบงก์เพิ่มขึ้น ในรายใหญ่เราไม่ห่วง ที่ห่วงคือผู้ส่งออกเอสเอ็มอีที่ทำฟอร์เวิร์ดหรือเฮดจิ้งกันน้อยมาก จากส่วนหนึ่งไม่มีวงเงินกับแบงก์มาก่อน หากจะทำก็ต้องหาหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทำให้มีต้นทุนเพิ่ม อีกส่วนหนึ่งไม่ทำเพราะรอเกมพลิกหากบาทอ่อนค่าลง จะมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่หากพลาดก็เจ็บตัว"

สอดคล้องกับนายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร สรท.ที่กล่าวว่า ผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเทียบกับปีที่ผ่านมา เห็นได้จากรายรับการส่งออกในรูปเงินบาทของไทยในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้ขยายตัวเพียง 1.24% (มีมูลค่าส่งออก 4.6 ล้านล้านบาท) สวนทางกับการส่งออกรูปดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ขยายตัวถึง 10.5% (มูลค่าส่งออก 1.46 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) จากบาทแข็งค่าไม่ห่วงสินค้าอุตสาหกรรม แต่ห่วงสินค้าเกษตร เช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง น้ำตาล เพราะใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก และมีต้นทุนเป็นเงินบาท หากส่งออกขาดทุนก็จะมีผลต่อราคาสินค้าและเกษตรกรในประเทศด้วย

นายวศิน ไสยวรรณ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (บมจ.) เผยว่า จากอัตราแลกเปลี่ยนผันผวน แนวโน้มเงินบาทอ่อนค่าน้อยกว่าสกุลเงินอื่น ส่งผลให้ผู้ส่งออกและนำเข้าทยอยเข้ามาปิดความเสี่ยงจากค่าเงินอย่างต่อเนื่อง ภาพรวม 8 เดือนแรกปีนี้หากดูจากธุรกรรมปริวรรตเงินตรา(ตลาดเงินตราต่างประเทศ)มีปริมาณ(โวลุ่ม) เติบโต 20% หลักๆ เป็นลูกค้าโฮลเซล ซึ่งมี 3-4 กลุ่มที่ป้องกันความเสี่ยงอย่างมีนัย ทั้งกลุ่มพลังงาน ก่อสร้าง การผลิตรวมถึงผู้นำเข้าวัตถุดิบ โดยส่วนใหญ่เป็นการทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (Forward Contract) ซึ่งการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนส่วนใหญ่ยังเป็นระยะเวลาปกติช่วง 3 เดือน 6 เดือน ขณะที่ผู้นำเข้าจะล็อกราคาอัตราแลกเปลี่ยนด้วยเครื่องมือสิทธิในการซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศ (FX Option)

"แนวโน้มช่วงที่เหลือปีนี้เชื่อว่านักธุรกิจทั้งผู้ส่งออกและนำเข้าจะทยอยป้องกันความเสี่ยง ขณะที่ธนาคารจับตาผลกระทบจากเหตุการณ์ในตุรกี แม้ปัจจุบันนี้ไทยยังไม่ได้รับผลกระทบ แต่ก็ยังไม่อยู่ในเซฟโหมดแต่อย่างใด"

นายนริศ สถาผลเดชา ผู้อำนวยการ อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบีกล่าวว่า แนวโน้มผู้นำเข้าตื่นตัวทำเฮดจิ้ง(ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน)เพิ่มขึ้น เพราะส่วนต่างระหว่างอัตราแลกเปลี่ยนทันทีกับอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า(Swap point)ติดลบ ทั้งกลุ่มปิโตรเคมี(พลังงาน)เคมีภัณฑ์ยานยนต์ รถยนต์ ซึ่งผู้นำเข้ามีสัดส่วนทำเฮดจิ้งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับผู้ส่งออก

"1 เดือนที่ผ่านมาผู้ส่งออกทำเฮดจิ้งน้อยลงจากปกติเคยทำ 50% ของยอดมูลค่าส่งออก ซึ่งกระจายในอุตสาหกรรมอาหาร เคมีภัณฑ์ พลาสติก ยางคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนผู้นำเข้ามีสัดส่วนทำเฮดจิ้ง 35% แนวโน้มยังเฮดจ์เพิ่ม เพราะ Swap Point ติดลบทำให้ต้นทุนการทำเฮดจิ้งของผู้นำเข้าลดลงเช่นสัญญา 6 เดือน Swap Point ติดลบ 20 สตางค์จากต้นปีอยู่ที่ประมาณ 10 สตางค์"

Source: ฐานเศรษฐกิจ

ไม่มีความคิดเห็น